โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองไผ่
แบนด์เน้อ

fgsf
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลหนองไผ่
แนะนำ
- เรื่องสุขภาพ
- โรคที่ครวระวัง
- การออกกำลังกาย
- การตรวจร่างกายประจำปี
การตรวจร่างกายมีประโยชน์และโทษอย่างไร?
การตรวจร่างกายเป็นการตรวจพื้นฐานควบคู่กันไปกับการสอบถามอาการผู้ป่วย เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มาก เพราะ ช่วยวินิจฉัยโรค ช่วยวินิจฉัยแยกโรค (ดังกล่าวแล้วใน บทนำ) ช่วยประเมินผลการรักษา และช่วยในการติดตามผลการรักษา ซึ่งการตรวจร่างกาย มีค่าใช้จ่ายในการตรวจต่ำมาก ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากและมีราคาสูง แพทย์ทุกคนสามารถทำได้ นอกจากนั้นแพทย์ยังใช้เป็นแนวทางช่วยในการส่งตรวจอื่นๆเพิ่มเติม (การสืบค้น, Investiga tion) ที่เป็นการตรวจที่จะช่วยยืนยันให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น เช่น ถ้าแพทย์ตรวจจากหูฟัง พบมีเสียงผิดปกติในปอด แพทย์จะส่งตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์ เพื่อจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยว่า มีรอยโรคหรือพยาธิสภาพอะไรเกิดขึ้นในปอดบ้าง ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษาโรคถูกต้องและมีประสิทธิภาพเหมาะสมสำหรับผู้ป่วย
การตรวจร่างกาย เป็นการตรวจที่ไม่มีโทษ ไม่มีผลข้างเคียง ตรวจได้ในทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ไม่จัดเป็นหัตถการ และสามารถให้การตรวจได้ในทุกสถานที่ โดยอาจมี อุปกรณ์ช่วยตรวจพื้นฐาน เช่น หูฟัง (Stethoscope) ปรอทวัดไข้ และเครื่อง วัดความดันโลหิต อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่เป็นการตรวจคลำ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บได้บ้าง แต่ไม่มาก และอาการจะหายได้เองโดยไม่ต้องมีการรักษาภายใน 2-3 นาทีหลังตรวจ เช่น การตรวจคลำช่องท้อง การตรวจทางทวารหนัก หรือ การตรวจภายใน เป็นต้น
ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นก
โรคทางพันธุกรรม หรือ โรคติดต่อทางพันธุกรรม เป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการถ่ายทอดพันธุกรรมของฝั่งพ่อและแม่ หากหน่วยพันธุกรรมของพ่อและแม่มีความผิดปกติแฝงอยู่ โดยความผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากการผ่าเหล่าของหน่วยพันธุกรรมบรรพบุรุษ ทำให้หน่วยพันธุกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมได้
ทั้งนี้ โรคทางพันธุกรรม เป็นโรคติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยโรคทางพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม
อาหารสุขภาพ
องค์การอนามัยโรคได้นิยามเรื่องอาหารสุขภาพว่า การรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ ร่วมกับการไม่ออกกำลังกายจะเป็นบ่อเกิดโรคเรื้อรัง องค์การอนามัยโลกได้แนะนำอาหารสุขภาพดังนี้
รับประทานอาหารที่สมดุลและมีน้ำหนักที่ปรกติ
- ให้ลดอาหารไขมัน และหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว Saturated fat,Transfatty acid
- ให้รับประทานอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืขเพิ่มมากขึ้น
- ลดอาหารที่มีน้ำตาล
- ลดอาหารเค็ม
สำหรับ National Health Service (NHS)ของประเทศอังกฤษได้นิยามอาหารสุขภาพไว้ว่า มีสองปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงได้แก่
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสมดุลกับพลังงานที่ใช้
- รับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย
NHSจึงได้กำหนดแนวทางอาหารสุขภาพไว้ดังนี้
- ทุกท่านต้องรู้จักจานอาหารสุขภาพซึ่งมีอาหารทั้งหมด 5 หมู่
- ในจานอาหารสุขภาพจะบอกเราว่าควรจะรับประทานอาหารให้มีสัดส่วนอย่างไร
สำหรับสมาคมโรคหัวใจประเทศอเมริกาได้กำหนดอาหารสุขภาพไว้ดังนี้
- รับประทานผักและผลไม้เพิ่มโดยตั้งเป้าให้รับผักและผลไม้วันละ 4-5ส่วนทุกวัน
- ให้รับประทานธัญพืชเพิ่มEat more whole-grain foods.เนื่องจากผักและผลไม้มีไขมันต่ำ ใยอาหารสูงได้แก่ Whole-grain foods include whole-wheat bread, rye bread, brown rice and whole-grain cereal.
- ให้ใช้น้ำมัน olive, canola, corn or safflower oil สำหรับปรุงอาหารและจำกัดจำนวนที่ใช้
- รับประทานไก่ ปลา ถั่วมากกว่าเนื้อแดง เนื่องจากไก่ที่ไม่มีหนัง ปลา ถั่วจะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าเนื้อแดง.
- อ่านฉลากก่อนซื้อหรือรับประทานทุกครั้งเพื่อเลือกอาหารที่มีคุณภาพ
โรคภูมิแพ้คืออะไร
โรคภูมิแพ้คือภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ไว ต้องสิ่งกระตุ้น โดยอาการภูมิแพ้นี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสสารบางชนิด ซึ่งสสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้จะเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ และเมื่อร่างกายเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้แล้วก็จะหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ออกมา จนทำให้ร่างกายเกิดอาการต่าง ๆ เช่น อาการคัน ไอ มีเสมหะ หายใจไม่สะดวก ลมพิษ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ สาเหตุเกิดจากอะไร
โรคภูมิแพ้เกิดได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ ได้แก่ กรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว
1. สาเหตุจากกรรมพันธุ์
โรคภูมิแพ้บางชนิดอาจเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งถ้าหากมีการซักประวัติแล้วพบว่าพ่อและแม่ของผู้ป่วยมีอาการแพ้ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนเดียว ทั้งนี้โรคภูมิแพ้ที่มักเกิดจากกรรมพันธุ์ได้แก่ โรคหืด โรคแพ้อากาศ และผื่นภูมิแพ้ในเด็ก
2. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุส่วนใที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในคนส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งแวดล้อมนี้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่างกายสามารถสัมผัสได้ ทั้งจากการหายใจ การทานอาหาร ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุดก็มีทั้งอาหาร เช่น อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นม ถั่วชนิดต่าง ๆ หรือโปรตีนบางชนิด นอกจากนี้สสารที่อยู่ในอากาศซึ่งเรามองไม่เห็นก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น ไรฝุ่น ฝุ่นละออง เชื้อราในอากาศ เกสรดอกไม้ และขนสัตว์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้อาการภูมิแพ้เกิดได้ง่ายขึ้น เช่น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อากาศที่เย็นจัด หรือมลพิษทางอากาศ อย่างเช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ควันบุหรี่ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกันค่ะ
โรคภูมิแพ้เกิดได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ ได้แก่ กรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว
1. สาเหตุจากกรรมพันธุ์
โรคภูมิแพ้บางชนิดอาจเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งถ้าหากมีการซักประวัติแล้วพบว่าพ่อและแม่ของผู้ป่วยมีอาการแพ้ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนเดียว ทั้งนี้โรคภูมิแพ้ที่มักเกิดจากกรรมพันธุ์ได้แก่ โรคหืด โรคแพ้อากาศ และผื่นภูมิแพ้ในเด็ก
2. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุส่วนใที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในคนส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งแวดล้อมนี้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่างกายสามารถสัมผัสได้ ทั้งจากการหายใจ การทานอาหาร ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุดก็มีทั้งอาหาร เช่น อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นม ถั่วชนิดต่าง ๆ หรือโปรตีนบางชนิด นอกจากนี้สสารที่อยู่ในอากาศซึ่งเรามองไม่เห็นก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น ไรฝุ่น ฝุ่นละออง เชื้อราในอากาศ เกสรดอกไม้ และขนสัตว์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้อาการภูมิแพ้เกิดได้ง่ายขึ้น เช่น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อากาศที่เย็นจัด หรือมลพิษทางอากาศ อย่างเช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ควันบุหรี่ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกันค่ะ
เรื่องกล้วยๆที่ไม่กล้วย
ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร นับเป็นปัญหาการเจ็บป่วยอันดับต้นๆ ของคนยุคใหม่ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็เร่งรีบไปเสียหมดแม้แต่เรื่องอาหารการกินที่เป็นปัจจัยที่ 1 ของการดำรงชีวิต
“แผลในกระเพาะอาหาร” ก็ถือเป็นอาการผิดปกติเรื้อรังที่สร้างความทรมานให้คนที่เป็นได้อย่างมาก ใครที่เคยเป็นคงรับรู้ถึงความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนกระเพาะอาหารเวลาหิวข้าว แต่พอกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ กลับรู้สึกจุกแน่น เสียดท้องขึ้นมาแทน ต้องหายาเคลือบกระเพาะ ยาลดกรด มาประจำติดตัวกันไว้ แต่ก็ยังไม่หายขาดเสียที แผลในกระเพาะอาหารก็ยังคงเป็นอยู่ต่อไป
อันที่จริงแล้ว มีอีกหนทางในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่แสนง่าย ถูก และดี จะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องกล้วยๆ ก็ว่าได้ เพราะงานนี้พระเอกก็คือผลไม้ใกล้ตัว คู่ครัวคนไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่าง “กล้วยน้ำว้า” นี่เอง
ด้วยภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย “กล้วยดิบ” ถูกนำมาใช้รักษาอาการแผลในกระเพาะอาหารมานานแล้ว และในปัจจุบันยังมีการค้นพบว่า ในกล้วยดิบมีสารสำคัญที่ให้รสฝาดและช่วยสมานแผลชื่อ “แทนนิน” ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะอาหารไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ และรสที่เผ็ดร้อนเกินไปทำอันตรายกับผนังกระเพาะอาหารของเราได้
สารสำคัญอีกอย่างหนึ่งในกล้วยทุกชนิดคือ “เซโรโทนิน” ช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกตามธรรมชาติออกมาเคลือบแผล แต่จะไม่กระทบกับการหลั่งน้ำย่อย ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองและอาการแสบร้อนท้องโดยที่ไม่ทำให้การย่อยลดประสิทธิภาพลง ในขณะที่ยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร โดยมากออกฤทธิ์เพียงเคลือบป้องกันแผล แต่กล้วยมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและสมานแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปด้วย
“กล้วย จึงเป็นยาสมานแผลกระเพาะอาหารที่มีคุณภาพดีและราคาถูก”
ที่ ดิ อโรคยา จึงแนะนำคนไข้ที่มีปัญหาแสบร้อนท้อง มีแผลในกระเพาะ ให้ทานกล้วยน้ำว้าดิบเพื่อรักษาแผล วิธีการทานนั้นก็ไม่ยากอย่างที่หลายท่านคิด
*วิธีแรก แบบทานสด
1. เพียงแค่นำกล้วยน้ำว้าดิบมาปอกเปลือกออก หั่นเป็นแว่นบางๆ 2-3 แว่น
2. จุ่มน้ำผึ้งเคี้ยวทานก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ ประมาณ 30 นาที การเคี้ยวก่อนกลืนจะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น หากไม่ได้จุ่มน้ำผึ้งจะทำให้เวลาเคี้ยวติดฟัน
วิธีนี้ค่อนข้างเห็นผลได้เร็วไม่เกิน 1 เดือนแผลในกระเพาะอาหารก็จะหายได้สนิท
**วิธีที่สอง แบบแปรรูป
หากใครไม่สะดวกในการเตรียมทุกมื้อ ก็สามารถนำกล้วยดิบมาแปรรูปให้เก็บไว้ทานได้ง่ายๆ ดังนี้
1. นำกล้วยน้ำว้าดิบมาล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) แล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ แผ่ในถาด ไม่ให้ชิ้นกล้วยซ้อนกัน
2. ตากลมหรือแดดสัก 3 แดด แต่ควรระวังไม่ให้อุณหภูมิสูงเกินไป ตากจนกล้วยกรอบและแห้งสนิท
3. นำมาตำจนละเอียดเป็นผงแล้วเก็บใส่โหล เมื่อจะนำมาทานก็ใช้ผสมกับน้ำอุ่นๆ หรือน้ำผึ้งทานก็ยิ่งดี ก่อนอาหารทุกมื้อ 30 นาที ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
*** วิธีที่สาม แบบยาลูกกลอน
หากไม่สะดวกในการแปรรูปด้วยตนเอง เราก็ยังสามารถหาซื้อกล้วยดิบผงหรือแบบที่ปั้นเป็นลูกกลอน (แนะนำให้ทานแบบลูกกลอนเพราะจะออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารได้ง่าย) ตามร้านขายยายาสมุนไพรมาทานได้เช่นกัน ทานตามที่ฉลากยาแนะนำ ให้ได้ต่อเนื่อง 1-2 เดือน อาการแผลในกระเพาะก็จะหายไป ระบบย่อยจะกลับมาทำงานได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นเพียงปลายทางในการรักษาอาการที่เกิดขึ้นแล้ว การรักษาโรคที่ถูกต้องที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการกินอยู่ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของร่างกาย
*** ใครอยากจะโบกมือเซย์กู๊ดบายจากโรคกระเพาะอย่างจริงจัง ดิ อโรคยา ก็มีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้***
1. ทานอาหารให้ตรงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อเช้า ควรทานไม่เกิน 9:00 น. เพราะเป็นเวลาการทำงานของลมปราณกระเพาะอาหารตามนาฬิกาชีวิต น้ำย่อยจะหลั่งออกมาเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ควรทานอาหารที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแกง กับข้าวสดใหม่ ก๋วยเตี๋ยว เพราะอาหารเช้า คือขุมพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน
2. หากไม่จำเป็น ควรงดการทานอาหารมื้อดึกเกิน 3 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในร่างกายต้องการพักผ่อน
3. ไม่รังแกระบบย่อยอาหารด้วยการดื่มน้ำในเวลาทานอาหารมากเกินไป การดื่มน้ำมากในมื้ออาหารจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง การย่อยจะไม่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดขยะตกค้างในลำไส้ได้มาก
4. ลดการทานอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์เหนียวๆ ของทอด ของมัน เครื่องดื่มเย็นจัด หวานจัด เพื่อลดภาระของระบบย่อยอาหาร
มารู้จักกับโรคที่มาพร้อมฤดูหนาว
1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อต้นเหตุเป็นไวรัสอินฟลูเอ็นซาไวรัส (influenza virus) มีอาการหนาวสะท้าน มีไข้ คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะรุนแรง การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรดื่มน้ำให้มาก รับประทานยาหรือฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หยุดพักผ่อน ใช้หน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อ และใช้ยาที่ถูกต้องจากแพทย์
2. โรคไข้หวัด (Common cold) เป็นโรคที่เกิ...ดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ มีลักษณะอาการใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดใหญ่ มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม คันคอเป็นอาการเด่น การป้องกันโรคไข้หวัดยังไม่มีวัคซีนป้องกันเนื่องจากมีเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่เบื้องต้นควรพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานยาตามอาการ เช่น หากมีอาการเจ็บคอ เลือกรับประทานยาแก้ไอขับเสมหะ
3. โรคปอดบวม (Pneumonia) หรือภาวะการอักเสบของปอด สาเหตุมักจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วยและสามารถแพร่กระจายออกมาเวลาไอ จาม นอกจากนี้ยังเกิดจากการดมสารเคมี เช่น แอมโมเนีย ไนโตรเจน ไดออกไซด์ หรือการสำลักน้ำลายเศษอาหารและน้ำย่อย เบื้องต้นจะมีอาการไอ คัดจมูกก่อนและจะเริ่มด้วยไข้สูง มีอาการหนาวสั่น หายใจหอบ มีการเจ็บหน้าอกบริเวณที่อักเสบ การป้องกันโรคปอดบวมทำได้โดยหลีกเหลี่ยงจากคนปอดบวม ดื่มน้ำมากๆ และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโรคที่ทำให้เกิดปอดบวม
1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อต้นเหตุเป็นไวรัสอินฟลูเอ็นซาไวรัส (influenza virus) มีอาการหนาวสะท้าน มีไข้ คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะรุนแรง การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรดื่มน้ำให้มาก รับประทานยาหรือฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หยุดพักผ่อน ใช้หน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อ และใช้ยาที่ถูกต้องจากแพทย์
2. โรคไข้หวัด (Common cold) เป็นโรคที่เกิ...ดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ มีลักษณะอาการใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดใหญ่ มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม คันคอเป็นอาการเด่น การป้องกันโรคไข้หวัดยังไม่มีวัคซีนป้องกันเนื่องจากมีเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่เบื้องต้นควรพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานยาตามอาการ เช่น หากมีอาการเจ็บคอ เลือกรับประทานยาแก้ไอขับเสมหะ
3. โรคปอดบวม (Pneumonia) หรือภาวะการอักเสบของปอด สาเหตุมักจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วยและสามารถแพร่กระจายออกมาเวลาไอ จาม นอกจากนี้ยังเกิดจากการดมสารเคมี เช่น แอมโมเนีย ไนโตรเจน ไดออกไซด์ หรือการสำลักน้ำลายเศษอาหารและน้ำย่อย เบื้องต้นจะมีอาการไอ คัดจมูกก่อนและจะเริ่มด้วยไข้สูง มีอาการหนาวสั่น หายใจหอบ มีการเจ็บหน้าอกบริเวณที่อักเสบ การป้องกันโรคปอดบวมทำได้โดยหลีกเหลี่ยงจากคนปอดบวม ดื่มน้ำมากๆ และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโรคที่ทำให้เกิดปอดบวม
ไข้เลือดออก อันตรากว่าที่คิด
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย
โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน
ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของโรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี
ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก
ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า
ยุงกัดเพราะอะไร ระวังไว้ ก่อนป่วยไข้เลือดออก !
อาการของ ไข้เลือดออก
อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ
1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน
2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว
3. ตับโต
4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก : มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ
ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง
อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที
ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก
ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน
ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ
ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ
ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก
อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว
ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ
ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว
เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที
เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย
เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง
ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก
แนวทางการรักษาโรค ไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้
1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร
2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด
3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย
จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว
ผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการไข้ลดลง ภายใน 24-48 ชั่วโมง แล้วเริ่มกินอะไรได้ รู้สึกตัวดี ไม่ซึม แสดงว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว
การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็น ไข้เลือดออก
เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธุ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่า มีคนเป็นไข้เลือดออกด้วย และแจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง รวมถึงดูแลให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัด สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้รีบจัดการและทำลายแหล่งแพร่พันธุ์นั้น เพื่อป้องกันการเป็นไข้เลือดออก
นอกจากนี้ต้องคอยระวังเฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออกได้
1.สำรวจเบื้องต้น (Preliminary lnvestigation )
เพราะความต้องการในการสือมีจำนวนมากขึ้น
2.วิเคราะห์ความต้องการ (Requirement ANalsis)
การสื่อทางโซเซียวมีความต้องการที่มากขึ้นและมีคนใช้วานมากขึ้นทำให้มีความเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น อาจมีปัญหาในด้านมีคนส่วนน้อยที่ยังเข้าไม่ถึงสื่อโซเซี่ยว
3.ออกแบบระบบ (System Design)
มีการให้ข้อมูลข่าวสารทาวด้านหน้าเพจ บล็อกเกอร์ และทวิตเตอร์ มีการสืบหาข้อมูลเพื่อมาเป็นข้อมูลสำคัญ
4. การจัดหาอุปกรณ์ (System Acquisition)
มีการใช้โทรศัพท์ เครื่อวคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก มีการใช้ซอฟแวร์ และฮาร์แวร์ เพื่อป้อนข้อมูล.
5. จัดตั้งและบำรุงรักษา (System lmplememt Maintenance)
มีการอัพเดต เพจ 1ข่าว / อาทิตย์ ทวิเตอร์ 7ทวิต / อาทิตร์ และบล็อกเกอร์ 1ข่าว / อาทิตย์
ตรวจโรคความดันโลหิตสูง
วันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตำบลหนองไผ่ มีการตรวจโรคความดันโลหิตสูงให้กับประชาชนที่มาใช้บริการ
กับทางคุณหมอและพยาบาลที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง
ส่วนประกอบต่างๆ ในตัวแบบของการวางแผนกลยุทธ์
1.ภาระกิจ ประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลหนองไผ่
2.โครงร่างของบริษัท
3.การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
4.การวิเคราะห์กลยุทธ์และทางเลือกของกลยุทธ์
-จุดแข็ง
~มีหมอ พยาบาลที่มีความรู้
~เครื่องมือในการรักษามีครบเท่าที่โรงพยาบาลประจำตำบลต้องมี
~มี อสม.ปนะจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เยอะ
-จุดอ่อน
~สถานที่ไม่มีขนาดใหญ่เท่าที่ควร
~ห้องฉุกฉินมีห้องเดียว
~หมอ พยาบาล มีน้อย
-โอกาส
~ขยายบริเวณให้มีขนาดใหญ่
~เพิ่มบุคลากรที่จำเป็น-
อุปสรรค
~อยู่ไกลจากอำเภอ
~ชาวบ้านไม่ค่อยมาใช้บริการ
5.วัตถุประสงค์ ประมาสัมพันธ์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลหนองไผ่ให้เป็นที่รู้จัก และมีภาพลักษณ์ที่ดี
6.แผน จัดกิจกรรม ตรวจโรคทั่วไปฟรี โดยมีการร่วมกดไลค์ แฟนเพจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลหนองไผ่ ใครกดคนที่ 99 สามารถนำหลักฐานมาแสดง โดยการ บันทึกหน้าแฟนเพจมาแสดง
7.นโบบาย รักษาทุกชนชั้น ในบรรทัดฐานเดียวกัน
8.การปฏิบัติตามกลยุทธ์ มีการรับสมัครหมอ พยาบาล ที่มีความรู้เฉพาะด้านมาประจำที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลหนองไผ่ ประสานของบประมาณมาขยายพื้นที่ เพื่อรองรับประชาชนที่คาดว่าจะมีมากขึ้น
โรคเบาหวาน
เบาหวาน เป็นกลุ่มอาการจากความผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่ง คือ อินซูลินจากตับอ่อนที่ผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน่้ำตาลในเลือดสูงอยู่นาน ก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ในกรณีเรื้อรังจะไปทำให้หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำลายหลอดเลือดร่วมอยู่ด้วย ค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ช.ม. ประมาณ 80-120 มก.% และหลังอดอาหาร 2 ชม. ประมาณ 140 มก.%
สาเหตุ...ของเบาหวาน ในชุมชนไทยมีโอกาสพบคนเป็นเบาหวานตั้งแต่ช่วงอายุ 13 ปีขึ้นไป โดยประมาณทั้งสิ้นถึงหนึ่งล้านเจ็ดแสนคน นอกจากนั้นยังพบว่าเมื่อสูงอายุขึ้น มีโอกาสเป็นเบาหวานได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ประชากรอายุระหว่าง 20-44 ปี จะพบประมาณร้อยละ 2-3 และอายุ 45-59 ปีขึ้นไป อากพบสูงถึงร้อยละ 10-12 สาเหตุของการเกิดโรคมีดังนี้
1.น้ำหนักเกิน ความอ้วนและขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เพียงพอ โดยมีดรรชนีมวลกาย มากกว่าหรือเท่ากับ 25 (น้ำหนัก/สูง2 เป็นเมตร)
2.กรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวาน ลูกมีโอาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่ไม่เป็นเบาหวาน
3.ความเครียดเรื้อรัง ทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อได้ไม่เต็มที่
4.อื่นๆ เช่น จากเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น
การปฏิบัติตนในผู้ป่วยเบาหวาน
1.เกี่ยวกับการรักษาทางยา - ยาฉีดหรือยากิน มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควรฉีดหรือกินให้ตรงเวลา และตรงตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดหรือเพิ่มยาเอง - มาตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นระยะๆ เพื่อปรับขนาดยา - ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดทำให้ลดหรือเพิ่มฤทธิ์ยาเบาหวานได้ - ควรเก็บยาให้ห่างจากมือเด้ก ยาฉีดควรเก็บในที่เย็น ยาเม็ดควรใส่ซองและนำยาติดตัวไปด้วยหากเดินทางไกล เพื่อไม่ให้ขาดยา
2.การควบคุมอาหาร - กินอาหารให้ครบ 3 มื้อหลัก และครบทั้ง 5 หมู่ คือ เนื้อสัตว์ แป้ง และน้ำตาล ไขมัน ผัก ผลไม้ - หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบ ไม่เป็นเวลา - หลีกเลี่ยงอาหารไขมันมาก อาหารทอด กะทิ หนังสัตว์ ควรใช้น้ำมันพืชและใช้แต่น้อย - หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เช่น ผลไม้บางชนิด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม น้ำหวาน - เลือกกินเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อปลา ไก่ - กินข้าวหรือแป้งพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป คนอ้วนควรลดข้าวลงบ้างมือละ 1 ใน 3 จากที่เคยกิน ส่วนคนผอมควรเพิ่มข้าวขึ้น 1 ใน 3 จากที่เคยกิน - กินผักได้มากไม่จำกัดจำนวน - หากป่วย ไม่ควรอดอาหาร ให้ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แทนอาหาร 1 มื้อ
3.การออกกำลังกาย
-เดินเร็วและต่อเนื่องทุกเนื่อง จะทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ง่าย
- ไม่ออกกำลังกายหักโหม
-ควรออกกำลังกายหลังมื้ออาหารและเป็นเวลา
4.การดูแลตนเอง
4.1 การพักผ่อน
- ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด นอนหลับอย่างน้อย วันละ 7-8 ชม.
4.2 ปาก - ฟัน - ตา
- ถ้ามีอาการตามั่วไม่ควรซื้อยามาหยอดเอ หากมีแผลที่ตา ใช้ผ้าปิดตาแล้วมาพบแทย์
4.3 ผิวหนัง
- อาบน้ำวันละ 2 ครั้งและดูแลอวัยวะเพศไม่ให้อับชื้น หากมีอาการชาปลายมือหรือปลายเท้าไม่ควรใช้ของร้อนประคบ
4.4 เท้า
- ตรวจดูเท้าทุกวัน ระวังไม่ให้เกิดแผล ถ้าเท้าแห้งให้แช่น้ำอุ่น เช็ดให้แห้งแล้วนวดด้วยโลชั่นหรือน้ำมันมะกอก
- ไม่ใส่รองเท้าหลวมหรือคับจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบหรือไขว่ห้างนานๆ
เคยมีความเชื่อแบบนี้กันบ้างหรือเปล่าคะ
ลองอ่านกันซักนิด ทำความเข้าใจกันซักหน่อย สาระดีๆเกี่ยวกับสุขภาพทั่วๆไปค่ะ
ทานโปรตีนเพิ่ม พละกำลังก็เพิ่ม
ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ เพราะร่างกายของเรามีโปรตีนและไขมันที่เพียงพออยู่แล้ว การเพิ่มปริมาณโปรตีนที่พิเศษไปกว่าโปรตีนที่เราทานตามปกติไม่ได้ช่วยเรื่อง “พละกำลัง” แต่เป็นเรื่องของ “จิตใจ” มากกว่า เราอาจจะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย ที่จูงใจด้วยสรรพคุณของอาหารเสริมโปรตีน ราวกับว่าโปรตีนคือยาวิเศษ แท้จริงแล้วพละกำลังเกิดจากกล้ามเนื้อ การบริหารร่างกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการเพิ่มพละกำลังมากกว่า
น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น
อาจจะถูกส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น ระบบการเผาผลาญอาหารและพลังงานของร่างกายก็ทำงานได้ลดลง ทำให้เกิดการสะสมในรูปแบบของไขมันส่วนเกินที่มากขึ้น ประกอบกับการสร้างกล้ามเนื้อก็ลดลง เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาไขมันสะสมเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้ เราจึงควรจะกำจัดส่วนเกินเหล่านั้นออกไป แล้วรักษาน้ำหนักให้สมดุล ดีกว่าที่จะปล่อยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นนะคะ
ยาลดความอ้วนทำให้หายจากโรคอ้วน
ยาลดความอ้วนที่โฆษณาและวางขายตามท้องตลาดนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นยาขับปัสสาวะ ลดการดูดซึมไขมัน เมื่อใช้ยาอาจส่งผลให้ดูผอมในระยะหนึ่ง แต่เป็นความผอมแบบขาดสารอาหาร ร่างกายทรุดโทรม การลดความอ้วนที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นไม่มีตัวยาเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการควบคุมอาหาร และปริมาณสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม แน่นอนว่าวิธีดังกล่าวต้องใช้เวลาและความพยายามมากพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ
ป่วย ต้องทานยา
จากการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่เน้นให้ผู้ป่วยทานยา ความจริงแล้ว 90 % ของโรคต่างๆ ร่างกายเราสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ยาเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ลดอาการของความเจ็บป่วยนั้นๆ ให้ร่างกายได้พักผ่อน สร้างภูมิต้านทานที่จะมาต่อกรกับเชื้อโรคทั้งหลายที่ทำให้ร่างกายบกพร่อง อย่างเช่น ยาแก้ไอ ยานี้ไม่ได้มีผลในการหยุดอาการไอ แต่จะช่วยลดอาการคัดจมูก แก้อาการบวมในคอ สาเหตุของเสียงที่แหบแห้ง เป็นต้น
มาดูกันว่าร่างกายของคุณส่งสญญาณอะไรแล้วบ้าง??
โรคที่มากับหน้าฝน
ในฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนี้ เป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว โรคที่สำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในฤดูนี้ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โรคไข้หวัดนก โรคปอดอักเสบ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง นอกจากนี้ในต่างจังหวัดบางพื้นที่ อาจมีการระบาดของโรคฉี่หนู หรือโรคแลปโตสไปโรซิส หรือโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรค เช่น ไข้มาลาเรีย โรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเจอี เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน โดยมี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่
1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ โรคเหล่านี้เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร ที่ลำไส้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีไข้ ปวดบิดในท้อง และหากติดเชื้อบิดอาจมีมูกหรือเลือดปนอุจจาระได้ นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ และบี ยังสามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ ผู้ที่มีอาการตับอักเสบจะมีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองหรือดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน ดังนั้นในหน้าฝนนี้จึงควรระมัดระวังอาหารการกินเป็นพิเศษ โดยรับประทานอาหารที่สุกใหม่ ๆ สะอาด ใช้ช้อนกลาง
2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนังที่พบบ่อย คือ โรคแลปโตสไปโรซิสหรือไข้ฉี่หนู อาการเด่น คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง ประมาณร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการรุนแรง เช่น ดีซ่าน ไตวาย หรือช็อคได้ โรคนี้มักเป็นเกิดในที่ที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา ผู้ที่ทำงานขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น
3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ H1N1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ ที่ขณะนี้พบการระบาดทั่วประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปี เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้
4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่
1.ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้านซึ่งจะวางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกมาก ไข้จะสูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อคได้
2.ไข้สมองอักเสบเจอี(Japanese Encephalitis)มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรค มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนา ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน หลังจากนั้นจะมีอาการซึมลงหรือชักได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต หรือพิการหากไม่ได้รับการรักษา
3.โรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงหนาวสั่น ซีดลง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ถ้าเป็นชนิดรุนแรงอาจมีอาการไตวาย ตับอักเสบ ปอดผิดปกติ และอาจมีความผิดปกติทางสมองที่เรียกว่า มาลาเรียขึ้นสมองได้
5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา นอกจากนี้ ในช่วงฤดูฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนาน ๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน สิ่งที่ต้องระวัง คือ การรับประทานยาลดไข้ เช่น ห้ามกินยาในกลุ่มแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคฉี่หนู
เบาหวาน เป็นกลุ่มอาการจากความผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่ง คือ อินซูลินจากตับอ่อนที่ผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน่้ำตาลในเลือดสูงอยู่นาน ก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ในกรณีเรื้อรังจะไปทำให้หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำลายหลอดเลือดร่วมอยู่ด้วย ค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ช.ม. ประมาณ 80-120 มก.% และหลังอดอาหาร 2 ชม. ประมาณ 140 มก.%
สาเหตุ...ของเบาหวาน ในชุมชนไทยมีโอกาสพบคนเป็นเบาหวานตั้งแต่ช่วงอายุ 13 ปีขึ้นไป โดยประมาณทั้งสิ้นถึงหนึ่งล้านเจ็ดแสนคน นอกจากนั้นยังพบว่าเมื่อสูงอายุขึ้น มีโอกาสเป็นเบาหวานได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ประชากรอายุระหว่าง 20-44 ปี จะพบประมาณร้อยละ 2-3 และอายุ 45-59 ปีขึ้นไป อากพบสูงถึงร้อยละ 10-12 สาเหตุของการเกิดโรคมีดังนี้
1.น้ำหนักเกิน ความอ้วนและขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เพียงพอ โดยมีดรรชนีมวลกาย มากกว่าหรือเท่ากับ 25 (น้ำหนัก/สูง2 เป็นเมตร)
2.กรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวาน ลูกมีโอาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่ไม่เป็นเบาหวาน
3.ความเครียดเรื้อรัง ทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อได้ไม่เต็มที่
4.อื่นๆ เช่น จากเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น
การปฏิบัติตนในผู้ป่วยเบาหวาน
1.เกี่ยวกับการรักษาทางยา - ยาฉีดหรือยากิน มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควรฉีดหรือกินให้ตรงเวลา และตรงตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดหรือเพิ่มยาเอง - มาตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นระยะๆ เพื่อปรับขนาดยา - ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดทำให้ลดหรือเพิ่มฤทธิ์ยาเบาหวานได้ - ควรเก็บยาให้ห่างจากมือเด้ก ยาฉีดควรเก็บในที่เย็น ยาเม็ดควรใส่ซองและนำยาติดตัวไปด้วยหากเดินทางไกล เพื่อไม่ให้ขาดยา
2.การควบคุมอาหาร - กินอาหารให้ครบ 3 มื้อหลัก และครบทั้ง 5 หมู่ คือ เนื้อสัตว์ แป้ง และน้ำตาล ไขมัน ผัก ผลไม้ - หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบ ไม่เป็นเวลา - หลีกเลี่ยงอาหารไขมันมาก อาหารทอด กะทิ หนังสัตว์ ควรใช้น้ำมันพืชและใช้แต่น้อย - หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เช่น ผลไม้บางชนิด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม น้ำหวาน - เลือกกินเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อปลา ไก่ - กินข้าวหรือแป้งพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป คนอ้วนควรลดข้าวลงบ้างมือละ 1 ใน 3 จากที่เคยกิน ส่วนคนผอมควรเพิ่มข้าวขึ้น 1 ใน 3 จากที่เคยกิน - กินผักได้มากไม่จำกัดจำนวน - หากป่วย ไม่ควรอดอาหาร ให้ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แทนอาหาร 1 มื้อ
3.การออกกำลังกาย
-เดินเร็วและต่อเนื่องทุกเนื่อง จะทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ง่าย
- ไม่ออกกำลังกายหักโหม
-ควรออกกำลังกายหลังมื้ออาหารและเป็นเวลา
-เดินเร็วและต่อเนื่องทุกเนื่อง จะทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ง่าย
- ไม่ออกกำลังกายหักโหม
-ควรออกกำลังกายหลังมื้ออาหารและเป็นเวลา
4.การดูแลตนเอง
4.1 การพักผ่อน
- ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด นอนหลับอย่างน้อย วันละ 7-8 ชม.
4.2 ปาก - ฟัน - ตา
- ถ้ามีอาการตามั่วไม่ควรซื้อยามาหยอดเอ หากมีแผลที่ตา ใช้ผ้าปิดตาแล้วมาพบแทย์
- ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด นอนหลับอย่างน้อย วันละ 7-8 ชม.
4.2 ปาก - ฟัน - ตา
- ถ้ามีอาการตามั่วไม่ควรซื้อยามาหยอดเอ หากมีแผลที่ตา ใช้ผ้าปิดตาแล้วมาพบแทย์
4.3 ผิวหนัง
- อาบน้ำวันละ 2 ครั้งและดูแลอวัยวะเพศไม่ให้อับชื้น หากมีอาการชาปลายมือหรือปลายเท้าไม่ควรใช้ของร้อนประคบ
4.4 เท้า
- ตรวจดูเท้าทุกวัน ระวังไม่ให้เกิดแผล ถ้าเท้าแห้งให้แช่น้ำอุ่น เช็ดให้แห้งแล้วนวดด้วยโลชั่นหรือน้ำมันมะกอก
- ไม่ใส่รองเท้าหลวมหรือคับจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบหรือไขว่ห้างนานๆ
- อาบน้ำวันละ 2 ครั้งและดูแลอวัยวะเพศไม่ให้อับชื้น หากมีอาการชาปลายมือหรือปลายเท้าไม่ควรใช้ของร้อนประคบ
4.4 เท้า
- ตรวจดูเท้าทุกวัน ระวังไม่ให้เกิดแผล ถ้าเท้าแห้งให้แช่น้ำอุ่น เช็ดให้แห้งแล้วนวดด้วยโลชั่นหรือน้ำมันมะกอก
- ไม่ใส่รองเท้าหลวมหรือคับจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบหรือไขว่ห้างนานๆ
เคยมีความเชื่อแบบนี้กันบ้างหรือเปล่าคะ
ลองอ่านกันซักนิด ทำความเข้าใจกันซักหน่อย สาระดีๆเกี่ยวกับสุขภาพทั่วๆไปค่ะ
ทานโปรตีนเพิ่ม พละกำลังก็เพิ่ม
ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ เพราะร่างกายของเรามีโปรตีนและไขมันที่เพียงพออยู่แล้ว การเพิ่มปริมาณโปรตีนที่พิเศษไปกว่าโปรตีนที่เราทานตามปกติไม่ได้ช่วยเรื่อง “พละกำลัง” แต่เป็นเรื่องของ “จิตใจ” มากกว่า เราอาจจะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย ที่จูงใจด้วยสรรพคุณของอาหารเสริมโปรตีน ราวกับว่าโปรตีนคือยาวิเศษ แท้จริงแล้วพละกำลังเกิดจากกล้ามเนื้อ การบริหารร่างกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการเพิ่มพละกำลังมากกว่า
ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ เพราะร่างกายของเรามีโปรตีนและไขมันที่เพียงพออยู่แล้ว การเพิ่มปริมาณโปรตีนที่พิเศษไปกว่าโปรตีนที่เราทานตามปกติไม่ได้ช่วยเรื่อง “พละกำลัง” แต่เป็นเรื่องของ “จิตใจ” มากกว่า เราอาจจะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย ที่จูงใจด้วยสรรพคุณของอาหารเสริมโปรตีน ราวกับว่าโปรตีนคือยาวิเศษ แท้จริงแล้วพละกำลังเกิดจากกล้ามเนื้อ การบริหารร่างกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการเพิ่มพละกำลังมากกว่า
น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น
อาจจะถูกส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น ระบบการเผาผลาญอาหารและพลังงานของร่างกายก็ทำงานได้ลดลง ทำให้เกิดการสะสมในรูปแบบของไขมันส่วนเกินที่มากขึ้น ประกอบกับการสร้างกล้ามเนื้อก็ลดลง เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาไขมันสะสมเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้ เราจึงควรจะกำจัดส่วนเกินเหล่านั้นออกไป แล้วรักษาน้ำหนักให้สมดุล ดีกว่าที่จะปล่อยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นนะคะ
อาจจะถูกส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น ระบบการเผาผลาญอาหารและพลังงานของร่างกายก็ทำงานได้ลดลง ทำให้เกิดการสะสมในรูปแบบของไขมันส่วนเกินที่มากขึ้น ประกอบกับการสร้างกล้ามเนื้อก็ลดลง เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาไขมันสะสมเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้ เราจึงควรจะกำจัดส่วนเกินเหล่านั้นออกไป แล้วรักษาน้ำหนักให้สมดุล ดีกว่าที่จะปล่อยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นนะคะ
ยาลดความอ้วนทำให้หายจากโรคอ้วน
ยาลดความอ้วนที่โฆษณาและวางขายตามท้องตลาดนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นยาขับปัสสาวะ ลดการดูดซึมไขมัน เมื่อใช้ยาอาจส่งผลให้ดูผอมในระยะหนึ่ง แต่เป็นความผอมแบบขาดสารอาหาร ร่างกายทรุดโทรม การลดความอ้วนที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นไม่มีตัวยาเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการควบคุมอาหาร และปริมาณสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม แน่นอนว่าวิธีดังกล่าวต้องใช้เวลาและความพยายามมากพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ
ยาลดความอ้วนที่โฆษณาและวางขายตามท้องตลาดนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นยาขับปัสสาวะ ลดการดูดซึมไขมัน เมื่อใช้ยาอาจส่งผลให้ดูผอมในระยะหนึ่ง แต่เป็นความผอมแบบขาดสารอาหาร ร่างกายทรุดโทรม การลดความอ้วนที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นไม่มีตัวยาเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการควบคุมอาหาร และปริมาณสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม แน่นอนว่าวิธีดังกล่าวต้องใช้เวลาและความพยายามมากพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ
ป่วย ต้องทานยา
จากการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่เน้นให้ผู้ป่วยทานยา ความจริงแล้ว 90 % ของโรคต่างๆ ร่างกายเราสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ยาเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ลดอาการของความเจ็บป่วยนั้นๆ ให้ร่างกายได้พักผ่อน สร้างภูมิต้านทานที่จะมาต่อกรกับเชื้อโรคทั้งหลายที่ทำให้ร่างกายบกพร่อง อย่างเช่น ยาแก้ไอ ยานี้ไม่ได้มีผลในการหยุดอาการไอ แต่จะช่วยลดอาการคัดจมูก แก้อาการบวมในคอ สาเหตุของเสียงที่แหบแห้ง เป็นต้น
จากการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่เน้นให้ผู้ป่วยทานยา ความจริงแล้ว 90 % ของโรคต่างๆ ร่างกายเราสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ยาเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ลดอาการของความเจ็บป่วยนั้นๆ ให้ร่างกายได้พักผ่อน สร้างภูมิต้านทานที่จะมาต่อกรกับเชื้อโรคทั้งหลายที่ทำให้ร่างกายบกพร่อง อย่างเช่น ยาแก้ไอ ยานี้ไม่ได้มีผลในการหยุดอาการไอ แต่จะช่วยลดอาการคัดจมูก แก้อาการบวมในคอ สาเหตุของเสียงที่แหบแห้ง เป็นต้น
มาดูกันว่าร่างกายของคุณส่งสญญาณอะไรแล้วบ้าง??
โรคที่มากับหน้าฝน
ในฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนี้ เป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว โรคที่สำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในฤดูนี้ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โรคไข้หวัดนก โรคปอดอักเสบ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง นอกจากนี้ในต่างจังหวัดบางพื้นที่ อาจมีการระบาดของโรคฉี่หนู หรือโรคแลปโตสไปโรซิส หรือโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรค เช่น ไข้มาลาเรีย โรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเจอี เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน โดยมี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่
1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ โรคเหล่านี้เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร ที่ลำไส้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีไข้ ปวดบิดในท้อง และหากติดเชื้อบิดอาจมีมูกหรือเลือดปนอุจจาระได้ นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ และบี ยังสามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ ผู้ที่มีอาการตับอักเสบจะมีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองหรือดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน ดังนั้นในหน้าฝนนี้จึงควรระมัดระวังอาหารการกินเป็นพิเศษ โดยรับประทานอาหารที่สุกใหม่ ๆ สะอาด ใช้ช้อนกลาง
2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนังที่พบบ่อย คือ โรคแลปโตสไปโรซิสหรือไข้ฉี่หนู อาการเด่น คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง ประมาณร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการรุนแรง เช่น ดีซ่าน ไตวาย หรือช็อคได้ โรคนี้มักเป็นเกิดในที่ที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา ผู้ที่ทำงานขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น
3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ H1N1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ ที่ขณะนี้พบการระบาดทั่วประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปี เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้
4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่
1.ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้านซึ่งจะวางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกมาก ไข้จะสูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อคได้
2.ไข้สมองอักเสบเจอี(Japanese Encephalitis)มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรค มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนา ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน หลังจากนั้นจะมีอาการซึมลงหรือชักได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต หรือพิการหากไม่ได้รับการรักษา
3.โรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงหนาวสั่น ซีดลง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ถ้าเป็นชนิดรุนแรงอาจมีอาการไตวาย ตับอักเสบ ปอดผิดปกติ และอาจมีความผิดปกติทางสมองที่เรียกว่า มาลาเรียขึ้นสมองได้
5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา นอกจากนี้ ในช่วงฤดูฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนาน ๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน สิ่งที่ต้องระวัง คือ การรับประทานยาลดไข้ เช่น ห้ามกินยาในกลุ่มแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคฉี่หนู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)